วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552
เกาะเชจู
สถาที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
เกาหลีใต้
เกาะเชจู
ประเทศเกาหลี เป็นประเทศในอดีตตั้งอยู่ในคาบสมุทรเกาหลี ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเกาหลีถูกแบ่งออกเป็นประเทศเกาหลีเหนือ และ ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งฝั่งเกาหลีเหนือ มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนเหนือของคาบสมุทรเกาหลี โดยเกาหลีเหนือเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ มีระบบการค้าผูกขาดโดยภาครัฐ ทั้งการค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ควบคุมการค้าภายในประเทศ ส่วนเกาหลีใต้มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประมุขของประเทศคือประธานาธิบดี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ทั้งนี้ประเทศเกาหลีใต้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 จังหวัด (provinces) 1 จังหวัดปกครองตนเองพิเศษ (special autonomous province) 6 มหานคร (metropolitan cities) และ 1 นครพิเศษ (special city) ซึ่งเกาะเชจู เป็น 1 จังหวัดปกครองตนเองพิเศษ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศ เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยม มีชายฝั่งทะเลที่สวยงามโดยรอบ ยาวถึง 256 กม. สัมผัสทิวทัศน์อันงดงามตามธรรมชาติ ภูเขาฮัลลาซาน ซึ่งเป็นภูเขาไฟ ที่ดับแล้ว มีความสูงถึง 1950 เมตร อยู่ตรงกลางเกาะ ความสวยงามและโรแมนติด บรรยากาศในฤดูต่าง ๆที่แตกต่างกัน จึงเป็นแหล่งพักผ่อนและฮันนีมูน สำหรับชาวเกาหลี เกาะเชจูเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ มีสนามบินนานาชาติของตนเอง รวมทั้งเป็นที่ ตั้งของโรงแรมทั้งแบบตะวันตกและแบบเกาหลี หากคุณเดินทางโดยเครื่องบินจากโซลจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง หรือหากเดินทางมาจากเมือง พูซาน วานโด อินชน ยอซู หรือ มกโพ สามารถนั่งเฟอร์รี่มายังเกาะเชจูแห่งนี้ได้ เกาะแห่งนี้มีลักษณะภูมิอากาศอบอุ่นสบาย อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 15 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปีและในฤดูร้อนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยคือ 22-26 องศาเซลเซียส
สถานที่เที่ยวเกาะเชจู
1 ใน 9 จังหวัด ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็น เกาะแห่งความฝัน เกาะที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี มีอากาศที่น่าสบายแบบใกล้เขตร้อน มีชายฝั่งทะเลที่สวยงามโดยรอบ ยาวถึง 256 กม. ทิวทัศน์อันงดงามตามธรรมชาติ ภูเขาฮัลลาซาน ซึ่งเป็นภูเขาไฟ ที่ดับแล้ว มีความสูงถึง 1950 เมตร อยู่ตรงกลางเกาะ ความสวยงามและโรแมนติด บรรยากาศในฤดูต่าง ๆที่แตกต่างกัน จึงเป็นแหล่งพักผ่อนและฮันนีมูน สำหรับชาวเกาหลี
1. MANJANGGUL CAVE ถ้ำหินลาวา - มันจางกู ทางรัฐบาลได้สงวนไว้เป็นสมบัติทางธรรมชาติของชาติเมื่อปี 1970 และเป็นแหล่งศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์กลางคืน
2. SONGSAN ILCHULBONG (ยอดเขา ชงซัน อิลชุลโบง) หมายความว่า "จุดสูงสุดที่พระอาทิตย์ขึ้น" ปากปล่องภูเขาไฟมีลักษณะเหมือนมงกุฎ จุดชมวิวที่สวยและขึ้นชื่อที่สุด
3. SONG-UP FOLK VILLAGE หมู่บ้านวัฒนธรรมซงอับ ตั้งอยู่ตีนเขาฮัลลา หมู่บ้านพื้นเมืองที่รัฐบาลอนุรักษ์ไว้ พบบ้าน ผู้คนที่อาศัยอยู่ อาชีพ สินค้าดัง โรงเรียน ตึกทำการรัฐบาลในสมัยก่อน
4. CHEJU FOLK VILLAGE หมู่บ้านวัฒนธรรมเชจู จะได้ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวเกาะเชจู หมู่บ้านประมง ตลาด และอื่น ๆ เป็นต้นและที่สำคัญถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับ คุณปู่ของชาวเกาะเชจู "โทฮารุบัง"
5. CHONJIYON FALLS น้ำตก ชงจียอง อยู่ไม่ไกลกัน ตั้งอยู่ในหุบเขา ท่านจะพบกับหินรูปร่างต่าง ๆ จุดถ่ายรูปและวิวที่สวยมาจนคู่ฮันนีมูนเกาหลีทุกคู่ต้องมา
6. YONGDUAM ROCK หินยองดู เป็นหินบะซอลที่มีรูปร่างคล้ายหัวมังกรตามตำนาน พบกับหญิงเชจูกำลังขมักขะเม้นกับการดำน้ำเพื่อหาของทะเล
7. YEOMIJI BONTANICAL GARDEN สวนพฤษศาตร์เยอเมจิก ตั้งอยู่รีสอร์ท ชุนมุน ภายในประกอบไปด้วยสวนกลางแจ้งและสวนกรีนเฮาส์ขนาดใหญ่ ที่สูงถึง 38 เมตร มีจุดชมวิวบนหอคอยที่ตั้งอยู่ใจกลางสวน มีพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะแถบเมืองร้อน เมืองหนาว
ภาพส่วยๆรอบเกาะเชจู
ภูเขาฮัลลาซานบนเกาะเชจู
เกาะเชจูเกาะสวรรค์ของเกาหลี
เกาะเชจูในฤดูดอกไม้บาน.
เกาะภูเขาไฟ เชจูโด ...
ส้มผลไม้ขึ้นชื่อของเกาะเชจู
แผนที่เกาะเชจู
วัดในเกาะเชจู
ภาพถ่ายดาวเทียมเกาะเชจู
ท่านสามารถดาวน์โหลดข้อมูลในรูปแบบ Microsoft Word ได้ที่นี่
http://th.upload.sanook.com/A0/8971219f46e3cfa44062ecbec2fd9e11
เกาหลีใต้
เกาะเชจู
ประเทศเกาหลี เป็นประเทศในอดีตตั้งอยู่ในคาบสมุทรเกาหลี ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเกาหลีถูกแบ่งออกเป็นประเทศเกาหลีเหนือ และ ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งฝั่งเกาหลีเหนือ มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนเหนือของคาบสมุทรเกาหลี โดยเกาหลีเหนือเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ มีระบบการค้าผูกขาดโดยภาครัฐ ทั้งการค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ควบคุมการค้าภายในประเทศ ส่วนเกาหลีใต้มีพื้นที่ครอบคลุมส่วนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประมุขของประเทศคือประธานาธิบดี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ทั้งนี้ประเทศเกาหลีใต้แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 8 จังหวัด (provinces) 1 จังหวัดปกครองตนเองพิเศษ (special autonomous province) 6 มหานคร (metropolitan cities) และ 1 นครพิเศษ (special city) ซึ่งเกาะเชจู เป็น 1 จังหวัดปกครองตนเองพิเศษ เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศ เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศยอดนิยม มีชายฝั่งทะเลที่สวยงามโดยรอบ ยาวถึง 256 กม. สัมผัสทิวทัศน์อันงดงามตามธรรมชาติ ภูเขาฮัลลาซาน ซึ่งเป็นภูเขาไฟ ที่ดับแล้ว มีความสูงถึง 1950 เมตร อยู่ตรงกลางเกาะ ความสวยงามและโรแมนติด บรรยากาศในฤดูต่าง ๆที่แตกต่างกัน จึงเป็นแหล่งพักผ่อนและฮันนีมูน สำหรับชาวเกาหลี เกาะเชจูเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ มีสนามบินนานาชาติของตนเอง รวมทั้งเป็นที่ ตั้งของโรงแรมทั้งแบบตะวันตกและแบบเกาหลี หากคุณเดินทางโดยเครื่องบินจากโซลจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง หรือหากเดินทางมาจากเมือง พูซาน วานโด อินชน ยอซู หรือ มกโพ สามารถนั่งเฟอร์รี่มายังเกาะเชจูแห่งนี้ได้ เกาะแห่งนี้มีลักษณะภูมิอากาศอบอุ่นสบาย อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 15 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปีและในฤดูร้อนอุณหภูมิโดยเฉลี่ยคือ 22-26 องศาเซลเซียส
สถานที่เที่ยวเกาะเชจู
1 ใน 9 จังหวัด ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็น เกาะแห่งความฝัน เกาะที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลี มีอากาศที่น่าสบายแบบใกล้เขตร้อน มีชายฝั่งทะเลที่สวยงามโดยรอบ ยาวถึง 256 กม. ทิวทัศน์อันงดงามตามธรรมชาติ ภูเขาฮัลลาซาน ซึ่งเป็นภูเขาไฟ ที่ดับแล้ว มีความสูงถึง 1950 เมตร อยู่ตรงกลางเกาะ ความสวยงามและโรแมนติด บรรยากาศในฤดูต่าง ๆที่แตกต่างกัน จึงเป็นแหล่งพักผ่อนและฮันนีมูน สำหรับชาวเกาหลี
1. MANJANGGUL CAVE ถ้ำหินลาวา - มันจางกู ทางรัฐบาลได้สงวนไว้เป็นสมบัติทางธรรมชาติของชาติเมื่อปี 1970 และเป็นแหล่งศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์กลางคืน
2. SONGSAN ILCHULBONG (ยอดเขา ชงซัน อิลชุลโบง) หมายความว่า "จุดสูงสุดที่พระอาทิตย์ขึ้น" ปากปล่องภูเขาไฟมีลักษณะเหมือนมงกุฎ จุดชมวิวที่สวยและขึ้นชื่อที่สุด
3. SONG-UP FOLK VILLAGE หมู่บ้านวัฒนธรรมซงอับ ตั้งอยู่ตีนเขาฮัลลา หมู่บ้านพื้นเมืองที่รัฐบาลอนุรักษ์ไว้ พบบ้าน ผู้คนที่อาศัยอยู่ อาชีพ สินค้าดัง โรงเรียน ตึกทำการรัฐบาลในสมัยก่อน
4. CHEJU FOLK VILLAGE หมู่บ้านวัฒนธรรมเชจู จะได้ทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวเกาะเชจู หมู่บ้านประมง ตลาด และอื่น ๆ เป็นต้นและที่สำคัญถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับ คุณปู่ของชาวเกาะเชจู "โทฮารุบัง"
5. CHONJIYON FALLS น้ำตก ชงจียอง อยู่ไม่ไกลกัน ตั้งอยู่ในหุบเขา ท่านจะพบกับหินรูปร่างต่าง ๆ จุดถ่ายรูปและวิวที่สวยมาจนคู่ฮันนีมูนเกาหลีทุกคู่ต้องมา
6. YONGDUAM ROCK หินยองดู เป็นหินบะซอลที่มีรูปร่างคล้ายหัวมังกรตามตำนาน พบกับหญิงเชจูกำลังขมักขะเม้นกับการดำน้ำเพื่อหาของทะเล
7. YEOMIJI BONTANICAL GARDEN สวนพฤษศาตร์เยอเมจิก ตั้งอยู่รีสอร์ท ชุนมุน ภายในประกอบไปด้วยสวนกลางแจ้งและสวนกรีนเฮาส์ขนาดใหญ่ ที่สูงถึง 38 เมตร มีจุดชมวิวบนหอคอยที่ตั้งอยู่ใจกลางสวน มีพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะแถบเมืองร้อน เมืองหนาว
ภาพส่วยๆรอบเกาะเชจู
ภูเขาฮัลลาซานบนเกาะเชจู
เกาะเชจูเกาะสวรรค์ของเกาหลี
เกาะเชจูในฤดูดอกไม้บาน.
เกาะภูเขาไฟ เชจูโด ...
ส้มผลไม้ขึ้นชื่อของเกาะเชจู
แผนที่เกาะเชจู
วัดในเกาะเชจู
ภาพถ่ายดาวเทียมเกาะเชจู
ท่านสามารถดาวน์โหลดข้อมูลในรูปแบบ Microsoft Word ได้ที่นี่
http://th.upload.sanook.com/A0/8971219f46e3cfa44062ecbec2fd9e11
การสมัครBlogger
blogger.com เป็นบลอกที่ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะสะดวกและรวดเร็วและที่สําคัญสามารถนําโค้ดจาก
google adsense มาติดได้ง่าย
Blog เป็นเครื่องมือสำหรับเขียนบันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวชื่อเต็มๆ มาจาก Weblog โดยคนที่เขียน blog เขาจะเรียกว่า blogger หรือ Weblogger ที่จริงแล้วจะเรียกชื่ออะไรคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเรามากนักเอาเป็นว่าให้ พอรู้จักชื่อละกันหากท้าวความย้อนกลับไปในอดีต คนที่จะทำเว็บไซต์ส่วนตัวจะต้องศึกษาเครื่องมือเขียนเว็บอย่างHTML หรือหากจะให้ง่ายหน่อยก็ใช้ทูลสำเร็จรูปอย่าง Dreamweaver, Frontpage ในการสร้างเว็บขึ้นมา หลังจากสร้างเสร็จจะต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรีเพื่ออัปโหลดข้อมูลในเครื่องเราขึ้นไปเก็บอีกทีหนึ่งจึงจะมีเว็บของตัวเองได้
สำหรับblog ไม่เป็นเช่นนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนโค้ด หรือนั่งสร้างเว็บเองอีกทั้งไม่จำเป็นต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรี ก็สามารถมีเว็บไว้บันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวได้แล้วอีกทั้งสามารถเปลี่ยนรูป พื้นหลัง (template) ได้ด้วย ปัจจุบัน blog กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆบริษัททั้งเล็ก ใหญ่ต่างก็ทำเว็บบล็อกบริการในบริษัท เพื่อให้พนักงานเขียนบล็อกส่วนตัวได้
* โดยในเนื้อหาใน Blog นั้นจะส่วนประกอบสามส่วนคือ 1.หัวข้อ (Title) 2. เนื้อหา (Post หรือ Content) 3.วันที่เขียน (Date)
ประโยชน์หลักของ blog
• เป็นศูนย์ความรู้ของบริษัท เพราะให้พนักงานแต่ละคนเขียนบล็อกส่วนตัวไว้หากพนักงานท่านนั้นลาออกไป ความรู้ยังคงอยู่ที่บริษัทให้รุ่นน้องศึกษา
• ใช้รายงานเหตุการณ์ หรือผลการทำงานว่าแต่ละวันได้ทำอะไรบ้าง
• ใช้ติดตามความคืบหน้าของงาน กรณีมีการทำงานร่วมกัน
• ใช้สำหรับโชวร์ ผลงานส่วนตัว หรือไซต์ส่วนตัว
• ใช้ทำเว็บไซต์ส่วนตัว / เว็บดาราดัง (เราอาจจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ ใครสักคนก็สามารถทำได้สบาย )
• ใช้ทำเว็บรวมสถานที่ท่องเทียวในตัวจังหวัด หรือในอำเภอเล็กๆ ตามต่างจังหวัด
• ...
ตัวอย่างblogจากblogger.com
web hosting
asia idol sexy
สุขสันวันวาเลนไทน์
webhostingtips
studentloan
google tips
กลอนหวานๆโดนใจคนรัก
เครื่องประดับที่เหมาะสําหรับคนรักของงคุณ
ตัวอย่างเว็บไซต์ ในลักษณะ Weblog
• Mblog > weblog.manager.co.th
• OpenTLE Blog > blog.opentle.org
• Kapook Blog > www.kapookclub.com
• BlogGang > www.bloggang.com
• Exteen Blog > www.exteen.com
• MSDN Blogs > blogs.msdn.com
• Sun Blog > blogs.sun.com
• OracleAppsBlog > www.oracleappsblog.com
• Google Blog > googleblog.blogspot.com
• IBM Developer Blog > www-106.ibm.com/developerworks/blogs
การสมัครเขียนบล็อกฟรี ที่ Blogger.com
1. เข้าสมัครสมาชิกได้ที่เว็บไซต์ www.blogger.com
2. คลิกที่เริ่มสร้างบล็อกที่ CREATE YOUR BLOG NOW
3. กรอกรายละเอียดส่วนตัว ชื่อล็อกอิน / รหัสผ่าน / ชื่อบล็อก / อีเมล์
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
4. ระบุรายละเอียดของบล็อก
Blog title : ระบุชื่อบล็อก
Blog address (URL) : ชื่อยูอาแอลสำหรับเรียกใช้งาน http://arnut.blogpot.com
World Verification : พิมพ์รหัสที่ระบบบอกมา
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
5 . ระบบจะแสดง Template ให้เลือกใช้งานหลายแบบ ให้ทำการคลิกเลือก Template ที่ต้องการ
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
6 . ระบบแสดงข้อความกำลังทำการสร้าง blog ให้อยู่
7. ทำการสร้าง blog เสร็จแล้ว
ให้คลิกปุ่ม START POSTING เพื่อทดสอบเข้าใช้งาน
8. พิมพ์รายละเอียดข้อความแรกในบล็อก หลังพิมพ์ฺเสร็จสามารถคลิก preview ดูผลก่อนได้
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Publish Post
9. เสร็จสิ้นการติดตั้งเว็บบล็อก
ให้คลิกที่ View Blog เพื่อดูผล
10. แสดงบล็อกส่วนตัวที่สร้างเสร็จแล้ว
สังเกต url ด้านบนจะเป็น http://arnut.blogspot.com/
11. ที่นี้กรณีที่ต้องการเขียน Blog เพิ่มเติม หรือเข้าไปแก้ไข Blog สามารถล็อกอินเข้าได้ที่
http://www.blogger.com/start พิมพ์ชื่อ username / Password
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม SIGN IN เพื่อเข้าระบบ
12. จะเข้าสู่หน้าต่างผู้ดูแลบล็อกสำหรับแก้ไข และปรับแต่งข้อมูลต่างๆ ดังรูป
ทำการแก้ไขข้อมูลต่างๆ ตามต้องการ
สรุป
ในการสร้างบล็อกนั้นสามารถทำได้สองแบบคือ
1. การติดตั้งโปรแกรมทำ Blog ขึ้นใช้งานเองสำหรับบริการพนักงานใน office เลย ตัวอย่างโปรแกรมสร้าง blog เช่น WordPress, b2evolution, Nucleus, pMachine, MyPHPblog, Movable Type, Geeklog, bBlog (วิธีนี้ท่านต้องมีเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ในการใช้งานเองอาจทำเป็น Intranet Blog หรือ Internet Blog ก็ได้)
2. การใช้งานบล็อกฟรี จากเว็บที่เปิดให้บริการ ปัจจุบันมีเว็บเปิดให้บริการหลายเว็บอาทิ เช่น Blogger.com (en), Bloglines.com (en), Exteen.com (th), Bloggang.com(th)*
ในบทความนี้นำเสนอการสร้างบล็อกวิธีที่สองคือการใช้บล็อกฟรี ดยทดสอบจากเว็บ blogger.com จะเห็นได้ว่าการมีเว็บบล็อกเป็นของตัวเองไม่ช่ายเรื่องยากอีกต่อไปอีกทั้ง ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องเขียนเว็บเป็นก็สามารถมีบล็อกส่วนตัวได้แล้ว โดยในการสร้างและเขียนบล็อกขึ้นมา ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกแต่ละท่าน ผู้เขียนขอให้ใช้ประโยชน์จากบล็อกในเชิงสร้างสรรค์และ้ขอให้ทุกท่าน สนุกกับการเขียนบล็อกส่วนตัวครับ :)
ข้อมูลจากcmsthailand.com
2.free website
เว็บไซท์ที่ให้สร้างเว็บไซท์ฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งมีการบริการกันอยู่หลายเว็บทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเว็บไซท์พวกนี้จะมีข้อดีคือสามารถสร้างได้รวดเร็วและไม่เสียค่าใช้จ่าย สําหรับคนที่ไม่ค่อยมีเงินในการลงทุน ทางเลือกนี้ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางนึงทีเดียว แต่ก็มีข้อจํากัดอยู่หลายอย่างตามที่ทางเว็บกําหนดไว้ ถ้าต้องการสร้างรายได้จริงๆ คงต้องลงทุนมากกว่านี้
ในปัจจุบันนี้มีเว็บไซท์ที่ให้บริการแบบนี้หลายที่ รวมทั้ง เว็บไซท์ igetweb.com แห่งนี้ด้วย มีทั้งบริการฟรีและเสียค่าใช้จ่าย
ตัวอย่างของเว็บที่ให้บริการ
http://www.taradquickweb.com/
ีมีหลากหลายแพคเก็จให้เลือก
ข้อดีของเว็บไซท์
ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้การทำเว็บก็ทำได้ (no html)
ราคาเริ่มต้นเพียงเดือนละ 156 บาท ประหยัดค่าใช้จ่าย
ได้รูปแบบ เว็บไซต์แบบมืออาชีพ ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนา และสามารถ ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
พร้อมขายสินค้าได้ทันที กับคนทั่วประเทศและทั่วโลก
แก้ไขข้อมูลในเว็บไซต์ด้วยตัวเองตลอด 24 ชม.
แค่ 5 นาที คุณก็มี เว็บไซต์ ขายสินค้าได้แล้ว
มีระบบขนส่งสินค้าและชำระเงินผ่านบัตรเครดิต
ดูเว็บไซต์ผ่าน โทรศัพท์มือถือและ PDA ได้ทุกทั่วโลก
โปรโมทเว็บไซต์คุณภายใน 2 เว็บดังฟรี.!
ThaiSecondhand.com, TARAD.com
และบริการเสริมอื่นๆให้ใช้ อีกมากมาย.....
ดูความสามารถอื่นๆ ได้ที่นี่ >>
เข้าไปสมัครได้ที่ http://www.taradquickweb.com/package/p_free.php
เว็บฟรี, เว็บสำเร็จรูป, เว็บไซต์สำเร็จรูป, ร้านค้าออนไลน์, สัมมนา,สร้างเว็บ, e-commerce, sme
-www.igetweb.com
iGetWeb.com เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปจัดทำขึ้นมา
เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย ทุกธุรกิจ ทุก
องค์กร ที่คุณสามารถบริหารจัดการข้อมูลเว็บไซต์ได้
ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องจ้างโปรแกรมเมอร์ใน
การเขียนโปรแกรม หรือคอยโปรแกรมเมอร์ในการที่
อัพเดท แก้ไข ข้อมูลเว็บไซต์ เพียงแค่คุณมีความรู้
คอมพิวเตอร์เบื้องต้นเท่านั้น หรือแค่เล่น internet
เป็นก็สามารถใช้งานระบบของเว็บไซต์ได้อย่างง่าย
ดาย และแก้ไขข้อมูลได้ทันทีอย่างมืออาชีพ ด้วย
เทคโนโลยีล่าสุด
GetWeb เหมาะกับใคร
เว็บไซต์ส่วนตัว
เว็บไซต์ Download
เว็บไซต์ Variety
เว็บไซต์ดารา, แฟนคลับ
เว็บไซต์กลุ่มเพื่อน, เว็บรุ่น
เว็บไซต์โปรโมทบริษัท, องค์กร, ราชการ
เว็บไซต์สะสมต่างๆ งานอดิเรกต่างๆ
เว็บไซต์ข่าวสาร บันเทิง
เว็บไซต์เพื่อการศึกษา ให้ความรู้
เว็บไซต์สมาคม, ชมรมต่างๆ
เว็บไซต์โหราศาสตร์
เว็บไซต์ท่องเที่ยว
เว็บไซต์แนะนำสินค้า, ผลิตภัณฑ์
เว็บไซต์มูลนิธิ
เว็บไซต์โปรโมทงานต่างๆ
เว็บไซต์ที่ต้องการแสดงรูปภาพจำนวนมาก
เว็บไซต์ Catalog
เว็บไซต์งานแต่งงาน
ที่มา:http://freemoneyonline.igetweb.com/index.php?mo=3&art=151073
google adsense มาติดได้ง่าย
Blog เป็นเครื่องมือสำหรับเขียนบันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวชื่อเต็มๆ มาจาก Weblog โดยคนที่เขียน blog เขาจะเรียกว่า blogger หรือ Weblogger ที่จริงแล้วจะเรียกชื่ออะไรคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเรามากนักเอาเป็นว่าให้ พอรู้จักชื่อละกันหากท้าวความย้อนกลับไปในอดีต คนที่จะทำเว็บไซต์ส่วนตัวจะต้องศึกษาเครื่องมือเขียนเว็บอย่างHTML หรือหากจะให้ง่ายหน่อยก็ใช้ทูลสำเร็จรูปอย่าง Dreamweaver, Frontpage ในการสร้างเว็บขึ้นมา หลังจากสร้างเสร็จจะต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรีเพื่ออัปโหลดข้อมูลในเครื่องเราขึ้นไปเก็บอีกทีหนึ่งจึงจะมีเว็บของตัวเองได้
สำหรับblog ไม่เป็นเช่นนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนโค้ด หรือนั่งสร้างเว็บเองอีกทั้งไม่จำเป็นต้องไปขอพื้นที่เว็บฟรี ก็สามารถมีเว็บไว้บันทึกเหตุการณ์ส่วนตัวได้แล้วอีกทั้งสามารถเปลี่ยนรูป พื้นหลัง (template) ได้ด้วย ปัจจุบัน blog กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆบริษัททั้งเล็ก ใหญ่ต่างก็ทำเว็บบล็อกบริการในบริษัท เพื่อให้พนักงานเขียนบล็อกส่วนตัวได้
* โดยในเนื้อหาใน Blog นั้นจะส่วนประกอบสามส่วนคือ 1.หัวข้อ (Title) 2. เนื้อหา (Post หรือ Content) 3.วันที่เขียน (Date)
ประโยชน์หลักของ blog
• เป็นศูนย์ความรู้ของบริษัท เพราะให้พนักงานแต่ละคนเขียนบล็อกส่วนตัวไว้หากพนักงานท่านนั้นลาออกไป ความรู้ยังคงอยู่ที่บริษัทให้รุ่นน้องศึกษา
• ใช้รายงานเหตุการณ์ หรือผลการทำงานว่าแต่ละวันได้ทำอะไรบ้าง
• ใช้ติดตามความคืบหน้าของงาน กรณีมีการทำงานร่วมกัน
• ใช้สำหรับโชวร์ ผลงานส่วนตัว หรือไซต์ส่วนตัว
• ใช้ทำเว็บไซต์ส่วนตัว / เว็บดาราดัง (เราอาจจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ ใครสักคนก็สามารถทำได้สบาย )
• ใช้ทำเว็บรวมสถานที่ท่องเทียวในตัวจังหวัด หรือในอำเภอเล็กๆ ตามต่างจังหวัด
• ...
ตัวอย่างblogจากblogger.com
web hosting
asia idol sexy
สุขสันวันวาเลนไทน์
webhostingtips
studentloan
google tips
กลอนหวานๆโดนใจคนรัก
เครื่องประดับที่เหมาะสําหรับคนรักของงคุณ
ตัวอย่างเว็บไซต์ ในลักษณะ Weblog
• Mblog > weblog.manager.co.th
• OpenTLE Blog > blog.opentle.org
• Kapook Blog > www.kapookclub.com
• BlogGang > www.bloggang.com
• Exteen Blog > www.exteen.com
• MSDN Blogs > blogs.msdn.com
• Sun Blog > blogs.sun.com
• OracleAppsBlog > www.oracleappsblog.com
• Google Blog > googleblog.blogspot.com
• IBM Developer Blog > www-106.ibm.com/developerworks/blogs
การสมัครเขียนบล็อกฟรี ที่ Blogger.com
1. เข้าสมัครสมาชิกได้ที่เว็บไซต์ www.blogger.com
2. คลิกที่เริ่มสร้างบล็อกที่ CREATE YOUR BLOG NOW
3. กรอกรายละเอียดส่วนตัว ชื่อล็อกอิน / รหัสผ่าน / ชื่อบล็อก / อีเมล์
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
4. ระบุรายละเอียดของบล็อก
Blog title : ระบุชื่อบล็อก
Blog address (URL) : ชื่อยูอาแอลสำหรับเรียกใช้งาน http://arnut.blogpot.com
World Verification : พิมพ์รหัสที่ระบบบอกมา
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
5 . ระบบจะแสดง Template ให้เลือกใช้งานหลายแบบ ให้ทำการคลิกเลือก Template ที่ต้องการ
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Continue
6 . ระบบแสดงข้อความกำลังทำการสร้าง blog ให้อยู่
7. ทำการสร้าง blog เสร็จแล้ว
ให้คลิกปุ่ม START POSTING เพื่อทดสอบเข้าใช้งาน
8. พิมพ์รายละเอียดข้อความแรกในบล็อก หลังพิมพ์ฺเสร็จสามารถคลิก preview ดูผลก่อนได้
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Publish Post
9. เสร็จสิ้นการติดตั้งเว็บบล็อก
ให้คลิกที่ View Blog เพื่อดูผล
10. แสดงบล็อกส่วนตัวที่สร้างเสร็จแล้ว
สังเกต url ด้านบนจะเป็น http://arnut.blogspot.com/
11. ที่นี้กรณีที่ต้องการเขียน Blog เพิ่มเติม หรือเข้าไปแก้ไข Blog สามารถล็อกอินเข้าได้ที่
http://www.blogger.com/start พิมพ์ชื่อ username / Password
เสร็จแล้วคลิกปุ่ม SIGN IN เพื่อเข้าระบบ
12. จะเข้าสู่หน้าต่างผู้ดูแลบล็อกสำหรับแก้ไข และปรับแต่งข้อมูลต่างๆ ดังรูป
ทำการแก้ไขข้อมูลต่างๆ ตามต้องการ
สรุป
ในการสร้างบล็อกนั้นสามารถทำได้สองแบบคือ
1. การติดตั้งโปรแกรมทำ Blog ขึ้นใช้งานเองสำหรับบริการพนักงานใน office เลย ตัวอย่างโปรแกรมสร้าง blog เช่น WordPress, b2evolution, Nucleus, pMachine, MyPHPblog, Movable Type, Geeklog, bBlog (วิธีนี้ท่านต้องมีเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ในการใช้งานเองอาจทำเป็น Intranet Blog หรือ Internet Blog ก็ได้)
2. การใช้งานบล็อกฟรี จากเว็บที่เปิดให้บริการ ปัจจุบันมีเว็บเปิดให้บริการหลายเว็บอาทิ เช่น Blogger.com (en), Bloglines.com (en), Exteen.com (th), Bloggang.com(th)*
ในบทความนี้นำเสนอการสร้างบล็อกวิธีที่สองคือการใช้บล็อกฟรี ดยทดสอบจากเว็บ blogger.com จะเห็นได้ว่าการมีเว็บบล็อกเป็นของตัวเองไม่ช่ายเรื่องยากอีกต่อไปอีกทั้ง ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องเขียนเว็บเป็นก็สามารถมีบล็อกส่วนตัวได้แล้ว โดยในการสร้างและเขียนบล็อกขึ้นมา ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกแต่ละท่าน ผู้เขียนขอให้ใช้ประโยชน์จากบล็อกในเชิงสร้างสรรค์และ้ขอให้ทุกท่าน สนุกกับการเขียนบล็อกส่วนตัวครับ :)
ข้อมูลจากcmsthailand.com
2.free website
เว็บไซท์ที่ให้สร้างเว็บไซท์ฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งมีการบริการกันอยู่หลายเว็บทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเว็บไซท์พวกนี้จะมีข้อดีคือสามารถสร้างได้รวดเร็วและไม่เสียค่าใช้จ่าย สําหรับคนที่ไม่ค่อยมีเงินในการลงทุน ทางเลือกนี้ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางนึงทีเดียว แต่ก็มีข้อจํากัดอยู่หลายอย่างตามที่ทางเว็บกําหนดไว้ ถ้าต้องการสร้างรายได้จริงๆ คงต้องลงทุนมากกว่านี้
ในปัจจุบันนี้มีเว็บไซท์ที่ให้บริการแบบนี้หลายที่ รวมทั้ง เว็บไซท์ igetweb.com แห่งนี้ด้วย มีทั้งบริการฟรีและเสียค่าใช้จ่าย
ตัวอย่างของเว็บที่ให้บริการ
http://www.taradquickweb.com/
ีมีหลากหลายแพคเก็จให้เลือก
ข้อดีของเว็บไซท์
ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้การทำเว็บก็ทำได้ (no html)
ราคาเริ่มต้นเพียงเดือนละ 156 บาท ประหยัดค่าใช้จ่าย
ได้รูปแบบ เว็บไซต์แบบมืออาชีพ ไม่ต้องเสียเวลาพัฒนา และสามารถ ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ
พร้อมขายสินค้าได้ทันที กับคนทั่วประเทศและทั่วโลก
แก้ไขข้อมูลในเว็บไซต์ด้วยตัวเองตลอด 24 ชม.
แค่ 5 นาที คุณก็มี เว็บไซต์ ขายสินค้าได้แล้ว
มีระบบขนส่งสินค้าและชำระเงินผ่านบัตรเครดิต
ดูเว็บไซต์ผ่าน โทรศัพท์มือถือและ PDA ได้ทุกทั่วโลก
โปรโมทเว็บไซต์คุณภายใน 2 เว็บดังฟรี.!
ThaiSecondhand.com, TARAD.com
และบริการเสริมอื่นๆให้ใช้ อีกมากมาย.....
ดูความสามารถอื่นๆ ได้ที่นี่ >>
เข้าไปสมัครได้ที่ http://www.taradquickweb.com/package/p_free.php
เว็บฟรี, เว็บสำเร็จรูป, เว็บไซต์สำเร็จรูป, ร้านค้าออนไลน์, สัมมนา,สร้างเว็บ, e-commerce, sme
-www.igetweb.com
iGetWeb.com เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูปจัดทำขึ้นมา
เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย ทุกธุรกิจ ทุก
องค์กร ที่คุณสามารถบริหารจัดการข้อมูลเว็บไซต์ได้
ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องจ้างโปรแกรมเมอร์ใน
การเขียนโปรแกรม หรือคอยโปรแกรมเมอร์ในการที่
อัพเดท แก้ไข ข้อมูลเว็บไซต์ เพียงแค่คุณมีความรู้
คอมพิวเตอร์เบื้องต้นเท่านั้น หรือแค่เล่น internet
เป็นก็สามารถใช้งานระบบของเว็บไซต์ได้อย่างง่าย
ดาย และแก้ไขข้อมูลได้ทันทีอย่างมืออาชีพ ด้วย
เทคโนโลยีล่าสุด
GetWeb เหมาะกับใคร
เว็บไซต์ส่วนตัว
เว็บไซต์ Download
เว็บไซต์ Variety
เว็บไซต์ดารา, แฟนคลับ
เว็บไซต์กลุ่มเพื่อน, เว็บรุ่น
เว็บไซต์โปรโมทบริษัท, องค์กร, ราชการ
เว็บไซต์สะสมต่างๆ งานอดิเรกต่างๆ
เว็บไซต์ข่าวสาร บันเทิง
เว็บไซต์เพื่อการศึกษา ให้ความรู้
เว็บไซต์สมาคม, ชมรมต่างๆ
เว็บไซต์โหราศาสตร์
เว็บไซต์ท่องเที่ยว
เว็บไซต์แนะนำสินค้า, ผลิตภัณฑ์
เว็บไซต์มูลนิธิ
เว็บไซต์โปรโมทงานต่างๆ
เว็บไซต์ที่ต้องการแสดงรูปภาพจำนวนมาก
เว็บไซต์ Catalog
เว็บไซต์งานแต่งงาน
ที่มา:http://freemoneyonline.igetweb.com/index.php?mo=3&art=151073
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552
แค่เปลี่ยนมุมคิด โลกก็เปลี่ยนแล้ว
แค่เปลี่ยนมุมคิด โลกก็เปลี่ยนแล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่ "ต้นกล้า นัยนา" กล่าวเกริ่นไว้ในหนังสือ "แค่เปลี่ยนมุมคิด โลกก็เปลี่ยนแล้ว"
"ชีวิตของเราจะเ+++่ยวเฉาหรือสดใส มันขึ้นอยู่กับตัวเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนตัวเราเอง"
และ "ต้นกล้า นัยนา" มีคำแนะนำที่ดีๆ ไว้หลายอย่าง
" อย่ากลัวถ้าจะต้องล้มเหลว อย่าอายถ้าบางทีเราต้องพ่ายแพ้บ้าง เราไม่จำเป็นต้องชนะตลอด ไม่จำเป็นต้องเก๋ ต้องเด่นกว่าคนอื่นตลอดเวลา คนที่ไม่กลัวล้มเหลวจะเป็นคนสง่า เพราะหลังจากที่มีความพร้อมและเข้าใจในสิ่งที่จะทำอย่างดีแล้ว เขาก็จะทำ คิด พูด สร้างสรรค์อย่างมั่นใจ จะมีความสง่างามและมีเสน่ห์ในตัวเองได้"
" มีความรักและมีไฟในสิ่งที่ทำอยู่ เมื่อใดก็ตามที่เรารักในสิ่งที่เราทำ เราจะทำได้ดีและไม่รู้สึกเหนื่อย มีไฟ คือมีความอยากและกระตือรือร้นที่จะทำ และทุ่มเทอย่างเต็มที่"
"ใช้ ชีวิตอยู่ เพื่อวันนี้ แต่ก็อย่าลืมมองไปข้างหน้าด้วย ประเด็นก็คืออย่าไปพะวงถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปกังวลถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เรื่องที่เป็นไปได้ คือเรื่องที่เราลงมือทำ และทำด้วยตัวเอง คิดช่วยเหลือตัวเองก่อน ก่อนที่จะคิดหวัง รอหรือขอใครมาชว่ยเหลือเรา"
และการใช้เวลาให้คุ้มค่าก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
" ต้องใช้เวลาของเราอย่างฉลาด เรามีเวลาเท่ากัน เท่ากับทุกคน ใช้เวลาให้สมดุล อย่าโหมงานมากเกินไปจนลืมเวลาพัก อย่าพักมากเกินไป บันเทิงเกินไปจนลืมเวลางาน ทุกอย่างจะต้องอยู่บนฐานของความพอดี เมื่อพอดีแล้วจะเกิดผลดี"
เช่นเดียวกับต้องเลือกใช้เวลากับมันให้เหมาะสม
"เลือกทำงานที่มั่นใจ งานที่ไม่มั่นใจอย่าเพิ่งไปทำ ทำแล้วอาจจะทำให้เสียเวลาเปล่า เลือกทำงานที่ถนัด แล้วเราจะทำได้เป็นผลดี"
เมื่อทำงานเต็มที่แล้วเราก็จำเป็นต้องตกรางวัลให้ตัวเอง
" เรื่องสำคัญคือการให้รางวัลตัวเอง ให้ตัวเองได้พักผ่อน ให้ตัวเองได้เที่ยว ให้ตัวเองได้ซื้อของที่อยากซื้อ แต่ไม่ใช่ให้รางวัลตัวเองตลอด เพราะว่ารางวัลที่ว่าจะกลายเป็นของธรรมดา ไม่มีความหมาย ความหมายของรางวัลคือคุณค่าของมัน คุณค่าที่เราสร้างขึ้น คุณค่าที่เราได้รับ มันรวมความภูมิใจ อิ่มเอมใจ และมันจะเป็นพลังให้เรา"
คนที่เห็นโลกหลายมุม ย่อมปรับตัวเพื่อ อยู่กับความเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าจดจำแค่ “มุมเดียว “
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14411.html
ป้ายกำกับ:
Blog ธรรมะกับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรม
การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรม
การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรม
การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรมที่มีผลส่งทอดสืบต่อในภพเบื่องหน้า
( กรรมในบทความนี้ หมายเอา กรรมที่มีผลสืบทอดต่อ ในความเป็นบุญ ความเป็นบาป อันจะนำพาให้ก่อภพชาติ )
หลักเกณฑ์ข้อที่ ๑ การกระทำโดยมีเจตนาเกิดขึ้นในตอนใดตอนหนึ่งถือว่าเป็นกรรมที่ต้องมีผลตกทอด เป็นบุญเป็นบาปตามการกระทำนั้นๆทั้งสิ้น ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดว่าเป็นกรรมที่จะมีผลตกทอดเป็นบุญเป็นบาป เช่นคนเจ็บซึ่งมีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้จะพูดคำหยาบออกมา เอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้าก็ไม่เป็นกรรม ในทางวินัยก็ยกเว้นให้พระที่วิกลจริตซึ่งล่วงเกินสิกขาวินัยไม่ต้องอาบัติ ทั้งนี้ก็โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนา กระทำแล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม
หลักเกณฑ์ข้อที่ ๒ ที่ว่า การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็เพื่อแยกการกระทำของพระอรหันต์ออกจากการกระทำของปุถุชน เนื่องจากพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไม่มีความยึดถือในตัวตน การกระทำเรียกว่า อัพยากฤต ไม่นับว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญและบาปก็ไม่มี การกระทำของพระอรหันต์จึงไม่เรียกว่า กรรม แต่เรียกว่า กิริยา ส่วนปุถุชนหรือแม้กระทั้งพระเสขะบุคคล ตั้งแต่โสดาบัน จนถึงอนาคามี ยังมีกิเลส หยาบบ้างละเอียดบ้างลดหลั่นกันไปตามภูมิธรรม ยิ่งเป็นปุถุชนแล้ว ความยึดมั่นยิ่งมีเต็มอัดตรา ในตัวตนอยู่ จะทำอะไรก็ยังยึดถือว่าตนเป็นผู้กระทำ การกระทำของปุถุชนจึงเป็นกรรม ย่อมจะก่อให้เกิดวิบากหรือผลเสมอกรรมดีก็ก่อให้เกิดบุญส่วนกรรมชั่วก็ก่อให้ เกิดบาป
คน บางคนเข้าใจว่ากรรมหมายถึง สิ่งไม่ดีคู่กับเวร หรือบาป เช่นที่เรียกว่า เวรกรรม หรือ บาปกรรม ตรงกันข้ามกับฝ่ายข้างดีซึ่งเรียกว่าบุญ ทั้งนี้เพราะเราได้ใช้คำว่ากรรมในความหมายที่ไม่ดี เช่นเมื่อเห็นใครต้องประสบเคราะห์ร้ายและถูกลงโทษ เราก็พูดว่ามันเป็นเวรกรรมของเขา หรือเขาต้องรับบาปกรรมที่เขาทำไว้ แต่ความจริงคำว่ากรรมเป็นคำกลาง ๆ หมายถึงการกระทำตามที่กล่าวมาแล้ว จะมุ่งไปในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้
ทางแห่งการทำกรรม จำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมชาติที่เป็นมูลเหตุมี ๒ อย่าง คือ
๑.กรรมฝ่ายไม่ดีคือกรรมชั่วเรียกอกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมบถ
๒.กรรมฝ่ายดีเรียกกุศลกรรมหรือกุศลกรรมบถ
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14385.html
การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรม
การกระทำที่ถือว่าเป็นกรรมที่มีผลส่งทอดสืบต่อในภพเบื่องหน้า
( กรรมในบทความนี้ หมายเอา กรรมที่มีผลสืบทอดต่อ ในความเป็นบุญ ความเป็นบาป อันจะนำพาให้ก่อภพชาติ )
หลักเกณฑ์ข้อที่ ๑ การกระทำโดยมีเจตนาเกิดขึ้นในตอนใดตอนหนึ่งถือว่าเป็นกรรมที่ต้องมีผลตกทอด เป็นบุญเป็นบาปตามการกระทำนั้นๆทั้งสิ้น ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดว่าเป็นกรรมที่จะมีผลตกทอดเป็นบุญเป็นบาป เช่นคนเจ็บซึ่งมีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้จะพูดคำหยาบออกมา เอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้าก็ไม่เป็นกรรม ในทางวินัยก็ยกเว้นให้พระที่วิกลจริตซึ่งล่วงเกินสิกขาวินัยไม่ต้องอาบัติ ทั้งนี้ก็โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนา กระทำแล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม
หลักเกณฑ์ข้อที่ ๒ ที่ว่า การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็เพื่อแยกการกระทำของพระอรหันต์ออกจากการกระทำของปุถุชน เนื่องจากพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไม่มีความยึดถือในตัวตน การกระทำเรียกว่า อัพยากฤต ไม่นับว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญและบาปก็ไม่มี การกระทำของพระอรหันต์จึงไม่เรียกว่า กรรม แต่เรียกว่า กิริยา ส่วนปุถุชนหรือแม้กระทั้งพระเสขะบุคคล ตั้งแต่โสดาบัน จนถึงอนาคามี ยังมีกิเลส หยาบบ้างละเอียดบ้างลดหลั่นกันไปตามภูมิธรรม ยิ่งเป็นปุถุชนแล้ว ความยึดมั่นยิ่งมีเต็มอัดตรา ในตัวตนอยู่ จะทำอะไรก็ยังยึดถือว่าตนเป็นผู้กระทำ การกระทำของปุถุชนจึงเป็นกรรม ย่อมจะก่อให้เกิดวิบากหรือผลเสมอกรรมดีก็ก่อให้เกิดบุญส่วนกรรมชั่วก็ก่อให้ เกิดบาป
คน บางคนเข้าใจว่ากรรมหมายถึง สิ่งไม่ดีคู่กับเวร หรือบาป เช่นที่เรียกว่า เวรกรรม หรือ บาปกรรม ตรงกันข้ามกับฝ่ายข้างดีซึ่งเรียกว่าบุญ ทั้งนี้เพราะเราได้ใช้คำว่ากรรมในความหมายที่ไม่ดี เช่นเมื่อเห็นใครต้องประสบเคราะห์ร้ายและถูกลงโทษ เราก็พูดว่ามันเป็นเวรกรรมของเขา หรือเขาต้องรับบาปกรรมที่เขาทำไว้ แต่ความจริงคำว่ากรรมเป็นคำกลาง ๆ หมายถึงการกระทำตามที่กล่าวมาแล้ว จะมุ่งไปในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้
ทางแห่งการทำกรรม จำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมชาติที่เป็นมูลเหตุมี ๒ อย่าง คือ
๑.กรรมฝ่ายไม่ดีคือกรรมชั่วเรียกอกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมบถ
๒.กรรมฝ่ายดีเรียกกุศลกรรมหรือกุศลกรรมบถ
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14385.html
ป้ายกำกับ:
Blog ธรรมะกับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ทำอย่างไรเมื่อถูกคนอื่นด่า
ทำอย่างไรเมื่อถูกคนอื่นด่า
ทำอย่างไรเมื่อถูกคนอื่นด่า
ใน ชีวิตประจำวัน เรามักจะถูกคนด่าว่า หรือนินทาให้เสียหาย ทั้ง ๆ ที่บางทีเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด บางท่านทนไม่ได้ก็อาจด่าตอบ หรือนินทาตอบเพื่อให้หายแค้น บางท่านก็ทำใจได้ ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย ก็ดีไปอีกอย่าง
มีพระสูตรหนึ่งชื่อว่า “อักโกสกสูตร“ น่าจะนำมาใช้กับชีวืตประจำวันเราได้ไม่มากก็น้อย เรื่องมีอยู่ว่า… มีพราหมณ์คนหนึ่งไม่รู้ว่าโกรธแค้นพระพุทธเจ้ามาแต่ปางไหน พบพระพุทธองค์ก็เข้าไปด่า ในพระสูตรนั้นไม่ได้บอกว่าด่าว่าอะไร แต่บอกว่า “อสพุภาหิ ผรุสาหิ วาจาหิ อกุโกสติ ปริภาติ” แปลว่า บริภาษด้วยวาจาหยาบคาย มิใช่วาจาของสุภาพบุรุษ
เมื่อ พราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้าจนพอใจแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า “ที่บ้านพราหมณ์มีผู้มาเยี่ยมบ้างไหม?” พราหมณ์ตอบว่า “มีสิ ข้าพเจ้าไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตร” พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “เวลามีญาติมาเยี่ยมพราหมณ์เอาอะไรต้อนรับ“ พราหมณ์ก็ตอบว่า
“ก็เอาน้ำ ของขบเคี้ยวของกินมาต้อนรับ”
“เมื่อแขกมาที่บ้านท่าน ไม่กินไม่ดื่มของต้อนรับเหล่านั้น ของเหล่านั้นจะเป็นของใคร”
พระพุทธองค์ทรงตรัสถาม “ก็ตกเป็นของข้าพเจ้าซิ” พราหมณ์ตอบ
พระพุทธองค์ตรัสต่อว่า “เช่นเดียวกันนั่นแหละพราหมณ์ ท่านด่าเรา เราไม่รับคำด่านั้น คำด่านั้นก็ตกเป็นของท่าน” พราหมณ์ได้ยินดังนี้ถึงกับนิ่งเงียบเลย พระพุทธองค์จึงตรัสสอนต่อว่า
“ผู้ ใดโกรธตอบคนที่ด่า ผู้นั้นเลวกว่าคนด่าเสียอีก คนที่ไม่โกรธตอบคนที่ด่า นับว่าชนะสงครามที่ชนะได้แสนยาก คนที่มีสติยับยั้งชั่งใจ ไม่โกรธเวลาเขาด่า นับว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่น แต่คนที่ทำได้เช่นนี้ คนไม่ถึงธรรมมักจะกล่าวว่า เป็นคนโง่”
พราหมณ์ เมื่อได้ฟังดังนี้ สำนึกในความผิดของตน ว่า ตนไม่สมควรด่าคนที่ไม่ควรด่าอย่างยิ่ง จึงปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัย ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา หลังจากบวชได้ไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ที่มา : ธรรมะนอกธรรมมาสก์ โดย เสถียรพงษ์ วรรณปก
ทำอย่างไรเมื่อถูกคนอื่นด่า
ใน ชีวิตประจำวัน เรามักจะถูกคนด่าว่า หรือนินทาให้เสียหาย ทั้ง ๆ ที่บางทีเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด บางท่านทนไม่ได้ก็อาจด่าตอบ หรือนินทาตอบเพื่อให้หายแค้น บางท่านก็ทำใจได้ ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย ก็ดีไปอีกอย่าง
มีพระสูตรหนึ่งชื่อว่า “อักโกสกสูตร“ น่าจะนำมาใช้กับชีวืตประจำวันเราได้ไม่มากก็น้อย เรื่องมีอยู่ว่า… มีพราหมณ์คนหนึ่งไม่รู้ว่าโกรธแค้นพระพุทธเจ้ามาแต่ปางไหน พบพระพุทธองค์ก็เข้าไปด่า ในพระสูตรนั้นไม่ได้บอกว่าด่าว่าอะไร แต่บอกว่า “อสพุภาหิ ผรุสาหิ วาจาหิ อกุโกสติ ปริภาติ” แปลว่า บริภาษด้วยวาจาหยาบคาย มิใช่วาจาของสุภาพบุรุษ
เมื่อ พราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้าจนพอใจแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า “ที่บ้านพราหมณ์มีผู้มาเยี่ยมบ้างไหม?” พราหมณ์ตอบว่า “มีสิ ข้าพเจ้าไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตร” พระพุทธองค์ตรัสถามว่า “เวลามีญาติมาเยี่ยมพราหมณ์เอาอะไรต้อนรับ“ พราหมณ์ก็ตอบว่า
“ก็เอาน้ำ ของขบเคี้ยวของกินมาต้อนรับ”
“เมื่อแขกมาที่บ้านท่าน ไม่กินไม่ดื่มของต้อนรับเหล่านั้น ของเหล่านั้นจะเป็นของใคร”
พระพุทธองค์ทรงตรัสถาม “ก็ตกเป็นของข้าพเจ้าซิ” พราหมณ์ตอบ
พระพุทธองค์ตรัสต่อว่า “เช่นเดียวกันนั่นแหละพราหมณ์ ท่านด่าเรา เราไม่รับคำด่านั้น คำด่านั้นก็ตกเป็นของท่าน” พราหมณ์ได้ยินดังนี้ถึงกับนิ่งเงียบเลย พระพุทธองค์จึงตรัสสอนต่อว่า
“ผู้ ใดโกรธตอบคนที่ด่า ผู้นั้นเลวกว่าคนด่าเสียอีก คนที่ไม่โกรธตอบคนที่ด่า นับว่าชนะสงครามที่ชนะได้แสนยาก คนที่มีสติยับยั้งชั่งใจ ไม่โกรธเวลาเขาด่า นับว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่น แต่คนที่ทำได้เช่นนี้ คนไม่ถึงธรรมมักจะกล่าวว่า เป็นคนโง่”
พราหมณ์ เมื่อได้ฟังดังนี้ สำนึกในความผิดของตน ว่า ตนไม่สมควรด่าคนที่ไม่ควรด่าอย่างยิ่ง จึงปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัย ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา หลังจากบวชได้ไม่นานก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ที่มา : ธรรมะนอกธรรมมาสก์ โดย เสถียรพงษ์ วรรณปก
ป้ายกำกับ:
Blog ธรรมะกับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"
ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"
ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"
ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"
เพราะไม่เคยดูถูกตัวเอง
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าใครกำหนดชนชั้นในสังคม
ใครบอกว่าคนนี้ด้อยกว่าคนนั้น..คนนั้นเลิศกว่าคนนี้
"คนนั้นเขาดูถูกฉัน"..
"ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูถูก"
ฉันว่าไม่มีใครมาดูถูกเราได้..
ถ้าหากเราไม่คิดดูถูกตัวเอง
คนที่เดือดร้อน..นั่นแสดงว่า..
เขาไม่มีความภูมิใจในตัวเอง
ลองนั่งอยู่กับตัวเองซักพัก..
และลองหาดูว่าตัวเองมีอะไรที่คนอื่นไม่มีบ้าง
ฉันไม่ได้หมายถึง..
กระเป๋ามียี่ห้อ..รองเท้าจากอิตาลี..หรือขับรถซีรี่ส์ 7
แต่หมายถึงสิ่งดี ๆ ที่มักมีใครหลายคนสรรเสริญเราให้ได้ยิน
เช่น...
เราเรียนเก่ง..
เป็นคนใจกว้าง..
เป็นคนที่เพื่อนรัก
ไม่เรื่องมาก...
แค่นี้เธอก็มีความพิเศษกว่าคนอื่นแล้ว..
สิ่งนี้แหละที่บ่งบอกว่า...
เป็นตัวเธอ...
มีคนเดียวในโลก..
และเธอก็น่าจะภูมิใจ
คนที่ดูถูกคนอื่น..
น่าสงสารกว่าเราอีกนะ
........
..........
เพราะเขามัวมองคนอื่น..
จนลืมมองตัวเอง...
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14361.html
ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"
ไม่รู้สึกกับคำ "ดูถูก"
เพราะไม่เคยดูถูกตัวเอง
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าใครกำหนดชนชั้นในสังคม
ใครบอกว่าคนนี้ด้อยกว่าคนนั้น..คนนั้นเลิศกว่าคนนี้
"คนนั้นเขาดูถูกฉัน"..
"ฉันไม่ชอบให้ใครมาดูถูก"
ฉันว่าไม่มีใครมาดูถูกเราได้..
ถ้าหากเราไม่คิดดูถูกตัวเอง
คนที่เดือดร้อน..นั่นแสดงว่า..
เขาไม่มีความภูมิใจในตัวเอง
ลองนั่งอยู่กับตัวเองซักพัก..
และลองหาดูว่าตัวเองมีอะไรที่คนอื่นไม่มีบ้าง
ฉันไม่ได้หมายถึง..
กระเป๋ามียี่ห้อ..รองเท้าจากอิตาลี..หรือขับรถซีรี่ส์ 7
แต่หมายถึงสิ่งดี ๆ ที่มักมีใครหลายคนสรรเสริญเราให้ได้ยิน
เช่น...
เราเรียนเก่ง..
เป็นคนใจกว้าง..
เป็นคนที่เพื่อนรัก
ไม่เรื่องมาก...
แค่นี้เธอก็มีความพิเศษกว่าคนอื่นแล้ว..
สิ่งนี้แหละที่บ่งบอกว่า...
เป็นตัวเธอ...
มีคนเดียวในโลก..
และเธอก็น่าจะภูมิใจ
คนที่ดูถูกคนอื่น..
น่าสงสารกว่าเราอีกนะ
........
..........
เพราะเขามัวมองคนอื่น..
จนลืมมองตัวเอง...
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14361.html
ป้ายกำกับ:
Blog ธรรมะกับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
..เพียงแค่พอ...
..เพียงแค่พอ...
..เพียงแค่พอ...
ความคิดอย่างหนึ่งที่ควรฝึกให้เกิดขึ้นประจำ
คือ... ความคิดที่ว่า “พอ” คิดให้รู้จักพอ
ผู้รู้จักพอจะเป็นผู้ที่มีความสบายใจ
ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักพอ... จะเป็นผู้ร้อนเร่า
ความไม่รู้จักพอ มีอยู่ได้แม้ในผู้มั่งมีมหาศาล
และความรู้จักพอ ก็มีได้แม้ในผู้ยากจน
ทั้งนี้ก็เพราะความพอเป็นเรื่องของใจ
คนรวยไม่รู้จักพอ... ก็เป็นคนจนอยู่ตลอดเวลา
คนจนรู้จักพอ... ก็เป็นคนมั่งมีอยู่ตลอดเวลา
: พระคติธรรม
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14317.html
..เพียงแค่พอ...
ความคิดอย่างหนึ่งที่ควรฝึกให้เกิดขึ้นประจำ
คือ... ความคิดที่ว่า “พอ” คิดให้รู้จักพอ
ผู้รู้จักพอจะเป็นผู้ที่มีความสบายใจ
ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักพอ... จะเป็นผู้ร้อนเร่า
ความไม่รู้จักพอ มีอยู่ได้แม้ในผู้มั่งมีมหาศาล
และความรู้จักพอ ก็มีได้แม้ในผู้ยากจน
ทั้งนี้ก็เพราะความพอเป็นเรื่องของใจ
คนรวยไม่รู้จักพอ... ก็เป็นคนจนอยู่ตลอดเวลา
คนจนรู้จักพอ... ก็เป็นคนมั่งมีอยู่ตลอดเวลา
: พระคติธรรม
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14317.html
ป้ายกำกับ:
Blog ธรรมะกับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
เห็นที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่ใจของเรา
เห็นที่ไหน ถ้าไม่ใช่ที่ใจของเรา
พระพุทธศาสนาสอนให้น้อมเข้ามาพิจารณาในตัวของเรานี้
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็อยู่ในตัวของเรา
สอนออกไปนอกนั้น นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา มันเป็นโลก
เห็นอย่างไรเรียกว่า เห็นธรรม
เห็นภายนอกด้วยตาว่าตัวเราเป็นก้อนทุกข์
ทั้งเห็นภายในคือ เห็นชัดด้วยใจด้วย เห็นเป็นธรรมทั้งหมด
เราต้องพิจารณาให้ถึงสภาวะตามเป็นจริงของสังขาร
ให้เห็นชัดอย่างนั้นว่า มันเป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ
เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป มันไม่ใช่ตัวตนของเรา
เรามัวเมามันก็หลงนะซิ หลงสมมติว่าเป็นตัวเป็นตน
จิตธรรมชาติเป็นของผ่องใส
อาคันตุกะกิเลสมันพาให้เศร้าหมอง
ที่มาหัดทำสมาธิภาวนานี่ ก็เพื่อขัดเกลาให้กิเลสหมดสิ้นไป
เพื่อให้มันใสสะอาดคืนตามสภาพเดิม
ให้เห็นจิตเห็นใจของตน จิตเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไร
ความรู้เรื่องของจิตของใจนี่แหละ เรียกว่า
“วิชชา” เกิดขึ้นแล้ว เป็นปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
พระพุทธศาสนานี้ สอนมีจุดที่รวมได้ มีที่สุด หมดสิ้นสงสัย หมดเรื่อง
ไม่เหมือนวิชาชีพอื่น เขาสอนไม่มีที่สิ้นสุด
จึงว่า พุทธศาสนาสอนถึงที่สุด
แต่บุคคลผู้ทำตามนั้น ทำไม่ถึงที่สุด
จึงจำเป็นต้องทำสมาธิบ่อยๆ จนกว่ามันจะถึงที่สุด
พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น ตรงไปตรงมา แต่คนไม่ชอบ
บังไว้ปกปิดไว้ มันจึงไม่เห็นของจริง
พระองค์สอนตรงไปตรงมาเลย
ท่านบอกว่าร่างกายเหมือนกับซากอสุภะ
ท่านว่าอย่างนั้น เป็นของปฏิกูลโสโครก
มีคนใดมาพูดว่าเราสกปรกนี่ โกรธใหญ่ ไม่ชอบใจเลย
แท้ที่จริงนั้น แก่นสารของพุทธศาสนา
คือ การปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของตนให้บริสุทธิ์
ตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่จริง คำสอนของพระพุทธองค์ สอนของจริง
ให้เห็นตามเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง
พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจตามเป็นจริง
ว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจะด้วยกรรมวิธีใดๆ ก็ตาม
เกิดขึ้นแล้ว มันไม่เที่ยง แปรปรวนไป เป็นทุกข์
เมื่อผู้มาพิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเห็นจริง
ดังนี้แล้ว ย่อมไม่ยึดมั่น ถือมั่น
เบื่อหน่าย ปล่อยวางในสิ่งเหล่านั้นได้แล้ว
ย่อมมองเข้ามาเห็นจิตของตนผ่องใส
คราวนี้เห็นจิตของตนแล้ว
เมื่อเห็นจิตแล้ว มองดูเฉพาะจิตนั้น ไม่มองดูทุกข์
จิตนั้นก็เป็นอันหนึ่ง ทุกข์กลายเป็นอันหนึ่งของมันต่างหาก
เมื่อมองลึกเข้าไปก็เห็นแต่ใจ คือมีอารมณ์อันหนึ่งของมันต่างหาก
จะไม่เกี่ยวข้องด้วยอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
พุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ได้สอนที่อื่น นอกจาก “กายกับใจ”
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14297.html
พระพุทธศาสนาสอนให้น้อมเข้ามาพิจารณาในตัวของเรานี้
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็อยู่ในตัวของเรา
สอนออกไปนอกนั้น นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา มันเป็นโลก
เห็นอย่างไรเรียกว่า เห็นธรรม
เห็นภายนอกด้วยตาว่าตัวเราเป็นก้อนทุกข์
ทั้งเห็นภายในคือ เห็นชัดด้วยใจด้วย เห็นเป็นธรรมทั้งหมด
เราต้องพิจารณาให้ถึงสภาวะตามเป็นจริงของสังขาร
ให้เห็นชัดอย่างนั้นว่า มันเป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ
เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป มันไม่ใช่ตัวตนของเรา
เรามัวเมามันก็หลงนะซิ หลงสมมติว่าเป็นตัวเป็นตน
จิตธรรมชาติเป็นของผ่องใส
อาคันตุกะกิเลสมันพาให้เศร้าหมอง
ที่มาหัดทำสมาธิภาวนานี่ ก็เพื่อขัดเกลาให้กิเลสหมดสิ้นไป
เพื่อให้มันใสสะอาดคืนตามสภาพเดิม
ให้เห็นจิตเห็นใจของตน จิตเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไร
ความรู้เรื่องของจิตของใจนี่แหละ เรียกว่า
“วิชชา” เกิดขึ้นแล้ว เป็นปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
พระพุทธศาสนานี้ สอนมีจุดที่รวมได้ มีที่สุด หมดสิ้นสงสัย หมดเรื่อง
ไม่เหมือนวิชาชีพอื่น เขาสอนไม่มีที่สิ้นสุด
จึงว่า พุทธศาสนาสอนถึงที่สุด
แต่บุคคลผู้ทำตามนั้น ทำไม่ถึงที่สุด
จึงจำเป็นต้องทำสมาธิบ่อยๆ จนกว่ามันจะถึงที่สุด
พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น ตรงไปตรงมา แต่คนไม่ชอบ
บังไว้ปกปิดไว้ มันจึงไม่เห็นของจริง
พระองค์สอนตรงไปตรงมาเลย
ท่านบอกว่าร่างกายเหมือนกับซากอสุภะ
ท่านว่าอย่างนั้น เป็นของปฏิกูลโสโครก
มีคนใดมาพูดว่าเราสกปรกนี่ โกรธใหญ่ ไม่ชอบใจเลย
แท้ที่จริงนั้น แก่นสารของพุทธศาสนา
คือ การปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของตนให้บริสุทธิ์
ตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่จริง คำสอนของพระพุทธองค์ สอนของจริง
ให้เห็นตามเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง
พระพุทธเจ้าสอนให้เข้าใจตามเป็นจริง
ว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นจะด้วยกรรมวิธีใดๆ ก็ตาม
เกิดขึ้นแล้ว มันไม่เที่ยง แปรปรวนไป เป็นทุกข์
เมื่อผู้มาพิจารณาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเห็นจริง
ดังนี้แล้ว ย่อมไม่ยึดมั่น ถือมั่น
เบื่อหน่าย ปล่อยวางในสิ่งเหล่านั้นได้แล้ว
ย่อมมองเข้ามาเห็นจิตของตนผ่องใส
คราวนี้เห็นจิตของตนแล้ว
เมื่อเห็นจิตแล้ว มองดูเฉพาะจิตนั้น ไม่มองดูทุกข์
จิตนั้นก็เป็นอันหนึ่ง ทุกข์กลายเป็นอันหนึ่งของมันต่างหาก
เมื่อมองลึกเข้าไปก็เห็นแต่ใจ คือมีอารมณ์อันหนึ่งของมันต่างหาก
จะไม่เกี่ยวข้องด้วยอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
พุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ได้สอนที่อื่น นอกจาก “กายกับใจ”
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/14297.html
ป้ายกำกับ:
Blog ธรรมะกับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
บุญของการให้และช่วยชีวิต
บุญของการให้และช่วยชีวิต
ทุก ครั้งที่มีคนรอดชีวิตจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เรือ รวมทั้งรอดจากการถูกทำร้าย ประชาชนส่วนมากไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อาสาสมัคร นักข่าว และผู้ประสบเหตุการณ์ที่ผ่านมา มักจะสอบถามว่า "ห้อยพระอะไร" หรือ "มีของดีของขลังอะไรติดตัว"
ขณะเดียวกัน ผู้รอดตายจำนวนไม่น้อยก็มักจะโชว์ของขลังที่ติดตัว ถ่ายลงหน้าปกหนังสือพิมพ์ชั้นนำหน้าหนึ่งให้เห็นอยู่เป็นประจำ
นอก จากนี้แล้ว ในคอลัมน์ "พระเครื่องคู่ใจคนดัง" ของหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" หลายท่านยืนยันว่า "วัตถุมงคลเคยแสดงปาฏิหาริย์ช่วยชีวิตตนเอง"
ถ้า เชื่อว่า พระเครื่องและวัตถุมงคลแสดงปาฏิหาริย์ได้ แล้วในกรณีของชาวต่างชาติ เขาก็มีอุบัติเหตุและมีคนรอดตายจากอุบัติเหตุ เขาเหล่านั้นไม่มีวัตถุมงคลหรือพระเครื่องของไทย หรือมีเครื่องรางของขลังทางศาสนาของเขาติดตัวแต่ก็รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ เช่นกัน
ในขณะที่คนไทยจำนวนไม่น้อยรอดตายโดยไม่มีวัตถุมงคลติดตัวเลยสักชิ้นเดียว ผู้ที่รอดตายเหล่านี้มีอะไรดีกว่าวัตถุมงคลหรือ
" ต้องเอาเรื่องบุญที่ทำไว้ในอดีตชาติและชาติปัจจุบันมาอธิบาย โดยเฉพาะบุญที่ว่าด้วยการช่วยชีวิตคน ช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดตายอย่างหวุดหวิด บุญนี้จะติดตามตัวผู้นั้นไปและรอการส่งผลบุญอาจชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไป เมื่อเขาผู้นั้นต้องตกอยู่ในอันตราย บุญที่เคยช่วยชีวิตคนให้รอดตายอย่างตายอย่างปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำทั้งดีและไม่ดี กุศลกรรมและ(อกุศลกรรม) และวิบากกรรม คือต้องได้รับผลของกรรมไม่ช้าก็เร็ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติต่อๆ ไป"
นี่คือคำอธิบายของ พระอาจารย์เกษมสุข เขมสุโข พระลูกวัดประดู่ธรรมธิปัตย์ บางซื่อ กทม. พระนักจัดรายการวิทยุ และผู้แต่งเทศน์เพลง
ทั้ง นั้ พระอาจารย์เกษมสุข อธิบายให้ฟังว่า การช่วยชีวิตคนมี ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือ ๑.การช่วยชีวิตคนด้วยกาย ๒. การช่วยชีวิตคนด้วยวาจา และ ๓. การช่วยชีวิตคนด้วยใจ การช่วยชีวิตคนด้วยกายกับวาจา ประชาชนท่านผู้อ่านพอจะเดาได้ เช่น หมอช่วยรักษาจนรอดตายหรือบางคนพูดช่วยจนคนหนึ่งไม่ต้องถูกฆ่าตาย เพราะคนนั้นมาพูดขอร้องไว้หรือขอชีวิตไว้ ทำให้เขาคนนั้นๆ รอดตาย
การ ช่วยชีวิตคนด้วยวาจาอีกวิธี เช่น เราว่ายน้ำไม่เป็นแต่พบคนตกน้ำ ตะโกนร้องให้คนอื่นมาช่วยแล้วมีคนมาช่วยทัน ถ้าเราไม่ตะโกนบอกคนที่มาช่วยเขา ไม่เห็นเหตุการณ์ จึงไม่ได้วิ่งมาช่วย คนนั้นก็จมน้ำตายไปแล้ว หรือพบไฟไหม้บ้านตึกแถวมีเด็กผู้หญิงติดลูกกรงเหล็ก ตะโกนบอกให้คนมาช่วยเป็นเหตุให้เขารอดตายจากไฟไหม้ หรือนั่งอยู่เห็นรถพุ่งเข้ามาบนฟุตบาทเข้าหาคนนั่งกินอาหารหันหลังให้รถ
คน เห็นเหตุการณ์ตะโกนบอกให้คนนั่งหลบรถ เขาจึงหลบทัน เขารอดตายหวุดหวิด เราได้บุญแบบช่วยชีวิตคนด้วยวาจาแต่ได้บุญน้อยกว่า คนที่ช่วยชีวิตคนด้วยกาย
เพราะ เขาทุ่มเทและเสี่ยงมากกว่าคนแค่ร้องตะโกน หรือรีบไปบอก ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนร้ายให้รีบหนี เพราะมีคนจะมาฆ่า หรือตำรวจจะมาทำวิสามัญฯ โจรรีบหนีไปได้หวุดหวิด คนมาบอกจะมาเองหรือโทรศัพท์มาบอกหรือส่งคนมาบอก อยู่ในกลุ่มช่วยชีวิตคนด้วยวาจา (มีทั้งคนดีและคนร้าย) บุญนี้จะติดตามตัวเขาไปอาจให้ผลในชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไป
การ ช่วยชีวิตคนด้วยกาย มีหลายกรณี เช่น ขับรถผ่านไป พบผู้ประสบอุบัติเหตุ หลายคนไม่กล้าช่วย กลัวเลือดเปื้อนรถ กลัวตายในรถ กลัวผี กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นคนชนคนเจ็บ คนมีน้ำใจจิตเมตตาจึงช่วยคนเจ็บ ส่งโรงพยาบาล ถ้ามาถึงโรงพยาบาล ช้ากว่านี้ คนป่วยจะเสียชีวิต การช่วยชีวิตคนให้รอดตายด้วยกายอีกวิธี เช่น พบคนจะจมน้ำแล้วโดดลง ไปช่วยทำให้เขารอดตายอย่างหวุดหวิด
"การทำบุญด้วยชีวิต ถือว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ สิ่งที่ทุกคนทำได้ คือ การบริจาคโลหิต บริจาคพลาสม่า บริจาคอวัยวะ ร่วมทั้งบริจาคร่างกาย หลังจากหมดลมหายใจแล้ว เพื่อต่อชีวิตให้ผู้อื่น ส่วนการช่วยชีวิตสัตว์ก็มีอานิสงส์เช่นกัน เพียงแต่ว่าได้บุญน้อยกว่าการช่วยชีวิตคน" พระอาจารย์เกษมสุขกล่าว
ทั้ง นี้พระอาจารย์เกษมสุข ได้อธิบายถึงการช่วยชีวิตคนด้วยใจด้วยว่า ไม่ใช่ส่งใจไปช่วยใครแค่นี้ไม่สำเร็จผล การสำเร็จผลต้อง
ทำ ให้เขาผู้นั้นรอดชีวิตจาก อุบัติเหตุได้จริงด้วยพลังจิต พลังจิตจะต้องแก่กล้าถึงฌานสมาบัติ อย่างน้อยต้องได้ถึงฌาน ๔ ขึ้นไปแล้วอธิษฐานจิตลงไปในพระเครื่อง หรือวัตถุมงคลขอให้วัตถุมงคลนี้คุ้มครอง อุบัติเหตุอันตรายอย่างเกิดขึ้นกับผู้ที่มีติดตัว พระอาจารย์เกษมสุข พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "เมื่อผ่านไปพบ ผู้ประสบอุบัติเหตุไม่ว่า ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ จงหยุดช่วยเขาก่อน อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ เดี๋ยวคนอื่นๆ ก็จะมาช่วยเขาเอง การรอคนอื่นมาช่วยอาจะทำให้เขาเสียชีวิตก่อนที่จะถึงมือหมอก็ได้ และหากวันใดวันหนึ่งท่านต้องประสบอุบัติเหตุบ้าง ร้องขอให้คนมาช่วยชีวิตแล้วไม่มีใครช่วย ท่านอาจจะฉุกคิดได้ว่ารู้อย่างนี้น่าช่วยคนอื่นก่อน แต่มันก็สายไปเสียแล้ว"
ทุก ครั้งที่มีคนรอดชีวิตจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เรือ รวมทั้งรอดจากการถูกทำร้าย ประชาชนส่วนมากไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อาสาสมัคร นักข่าว และผู้ประสบเหตุการณ์ที่ผ่านมา มักจะสอบถามว่า "ห้อยพระอะไร" หรือ "มีของดีของขลังอะไรติดตัว"
ขณะเดียวกัน ผู้รอดตายจำนวนไม่น้อยก็มักจะโชว์ของขลังที่ติดตัว ถ่ายลงหน้าปกหนังสือพิมพ์ชั้นนำหน้าหนึ่งให้เห็นอยู่เป็นประจำ
นอก จากนี้แล้ว ในคอลัมน์ "พระเครื่องคู่ใจคนดัง" ของหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" หลายท่านยืนยันว่า "วัตถุมงคลเคยแสดงปาฏิหาริย์ช่วยชีวิตตนเอง"
ถ้า เชื่อว่า พระเครื่องและวัตถุมงคลแสดงปาฏิหาริย์ได้ แล้วในกรณีของชาวต่างชาติ เขาก็มีอุบัติเหตุและมีคนรอดตายจากอุบัติเหตุ เขาเหล่านั้นไม่มีวัตถุมงคลหรือพระเครื่องของไทย หรือมีเครื่องรางของขลังทางศาสนาของเขาติดตัวแต่ก็รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ เช่นกัน
ในขณะที่คนไทยจำนวนไม่น้อยรอดตายโดยไม่มีวัตถุมงคลติดตัวเลยสักชิ้นเดียว ผู้ที่รอดตายเหล่านี้มีอะไรดีกว่าวัตถุมงคลหรือ
" ต้องเอาเรื่องบุญที่ทำไว้ในอดีตชาติและชาติปัจจุบันมาอธิบาย โดยเฉพาะบุญที่ว่าด้วยการช่วยชีวิตคน ช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดตายอย่างหวุดหวิด บุญนี้จะติดตามตัวผู้นั้นไปและรอการส่งผลบุญอาจชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไป เมื่อเขาผู้นั้นต้องตกอยู่ในอันตราย บุญที่เคยช่วยชีวิตคนให้รอดตายอย่างตายอย่างปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำทั้งดีและไม่ดี กุศลกรรมและ(อกุศลกรรม) และวิบากกรรม คือต้องได้รับผลของกรรมไม่ช้าก็เร็ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติต่อๆ ไป"
นี่คือคำอธิบายของ พระอาจารย์เกษมสุข เขมสุโข พระลูกวัดประดู่ธรรมธิปัตย์ บางซื่อ กทม. พระนักจัดรายการวิทยุ และผู้แต่งเทศน์เพลง
ทั้ง นั้ พระอาจารย์เกษมสุข อธิบายให้ฟังว่า การช่วยชีวิตคนมี ๓ ประเภทใหญ่ๆ คือ ๑.การช่วยชีวิตคนด้วยกาย ๒. การช่วยชีวิตคนด้วยวาจา และ ๓. การช่วยชีวิตคนด้วยใจ การช่วยชีวิตคนด้วยกายกับวาจา ประชาชนท่านผู้อ่านพอจะเดาได้ เช่น หมอช่วยรักษาจนรอดตายหรือบางคนพูดช่วยจนคนหนึ่งไม่ต้องถูกฆ่าตาย เพราะคนนั้นมาพูดขอร้องไว้หรือขอชีวิตไว้ ทำให้เขาคนนั้นๆ รอดตาย
การ ช่วยชีวิตคนด้วยวาจาอีกวิธี เช่น เราว่ายน้ำไม่เป็นแต่พบคนตกน้ำ ตะโกนร้องให้คนอื่นมาช่วยแล้วมีคนมาช่วยทัน ถ้าเราไม่ตะโกนบอกคนที่มาช่วยเขา ไม่เห็นเหตุการณ์ จึงไม่ได้วิ่งมาช่วย คนนั้นก็จมน้ำตายไปแล้ว หรือพบไฟไหม้บ้านตึกแถวมีเด็กผู้หญิงติดลูกกรงเหล็ก ตะโกนบอกให้คนมาช่วยเป็นเหตุให้เขารอดตายจากไฟไหม้ หรือนั่งอยู่เห็นรถพุ่งเข้ามาบนฟุตบาทเข้าหาคนนั่งกินอาหารหันหลังให้รถ
คน เห็นเหตุการณ์ตะโกนบอกให้คนนั่งหลบรถ เขาจึงหลบทัน เขารอดตายหวุดหวิด เราได้บุญแบบช่วยชีวิตคนด้วยวาจาแต่ได้บุญน้อยกว่า คนที่ช่วยชีวิตคนด้วยกาย
เพราะ เขาทุ่มเทและเสี่ยงมากกว่าคนแค่ร้องตะโกน หรือรีบไปบอก ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนร้ายให้รีบหนี เพราะมีคนจะมาฆ่า หรือตำรวจจะมาทำวิสามัญฯ โจรรีบหนีไปได้หวุดหวิด คนมาบอกจะมาเองหรือโทรศัพท์มาบอกหรือส่งคนมาบอก อยู่ในกลุ่มช่วยชีวิตคนด้วยวาจา (มีทั้งคนดีและคนร้าย) บุญนี้จะติดตามตัวเขาไปอาจให้ผลในชาตินี้หรือชาติต่อๆ ไป
การ ช่วยชีวิตคนด้วยกาย มีหลายกรณี เช่น ขับรถผ่านไป พบผู้ประสบอุบัติเหตุ หลายคนไม่กล้าช่วย กลัวเลือดเปื้อนรถ กลัวตายในรถ กลัวผี กลัวถูกกล่าวหาว่าเป็นคนชนคนเจ็บ คนมีน้ำใจจิตเมตตาจึงช่วยคนเจ็บ ส่งโรงพยาบาล ถ้ามาถึงโรงพยาบาล ช้ากว่านี้ คนป่วยจะเสียชีวิต การช่วยชีวิตคนให้รอดตายด้วยกายอีกวิธี เช่น พบคนจะจมน้ำแล้วโดดลง ไปช่วยทำให้เขารอดตายอย่างหวุดหวิด
"การทำบุญด้วยชีวิต ถือว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ สิ่งที่ทุกคนทำได้ คือ การบริจาคโลหิต บริจาคพลาสม่า บริจาคอวัยวะ ร่วมทั้งบริจาคร่างกาย หลังจากหมดลมหายใจแล้ว เพื่อต่อชีวิตให้ผู้อื่น ส่วนการช่วยชีวิตสัตว์ก็มีอานิสงส์เช่นกัน เพียงแต่ว่าได้บุญน้อยกว่าการช่วยชีวิตคน" พระอาจารย์เกษมสุขกล่าว
ทั้ง นี้พระอาจารย์เกษมสุข ได้อธิบายถึงการช่วยชีวิตคนด้วยใจด้วยว่า ไม่ใช่ส่งใจไปช่วยใครแค่นี้ไม่สำเร็จผล การสำเร็จผลต้อง
ทำ ให้เขาผู้นั้นรอดชีวิตจาก อุบัติเหตุได้จริงด้วยพลังจิต พลังจิตจะต้องแก่กล้าถึงฌานสมาบัติ อย่างน้อยต้องได้ถึงฌาน ๔ ขึ้นไปแล้วอธิษฐานจิตลงไปในพระเครื่อง หรือวัตถุมงคลขอให้วัตถุมงคลนี้คุ้มครอง อุบัติเหตุอันตรายอย่างเกิดขึ้นกับผู้ที่มีติดตัว พระอาจารย์เกษมสุข พูดไว้อย่างน่าคิดว่า "เมื่อผ่านไปพบ ผู้ประสบอุบัติเหตุไม่ว่า ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ จงหยุดช่วยเขาก่อน อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ เดี๋ยวคนอื่นๆ ก็จะมาช่วยเขาเอง การรอคนอื่นมาช่วยอาจะทำให้เขาเสียชีวิตก่อนที่จะถึงมือหมอก็ได้ และหากวันใดวันหนึ่งท่านต้องประสบอุบัติเหตุบ้าง ร้องขอให้คนมาช่วยชีวิตแล้วไม่มีใครช่วย ท่านอาจจะฉุกคิดได้ว่ารู้อย่างนี้น่าช่วยคนอื่นก่อน แต่มันก็สายไปเสียแล้ว"
ป้ายกำกับ:
Blog ธรรมะกับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)